top of page
Search

การลงทุนมีความเสี่ยง ! 10 อันดับทีมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อความสำเร็จ

  • mynxwinter22
  • Aug 27, 2020
  • 3 min read

ความสำเร็จของ บาเยิร์น มิวนิค ในการคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ ฤดูกาล 2019/2020 เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการลงทุนอย่างเหมาะสมสามารถประสบความสำเร็จได้มากมาย


ขณะที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แม้ว่าจะคว้าแชมป์ทุกรายการในประเทศฝรั่งเศส แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถคว้าโทรฟี่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอบครองได้ ทั้งๆ ที่พวกเขาลงทุนไปมหาศาลก็ตาม ก่อนหน้านี้มีหลายสโมสรที่ควักกระเป๋าสร้างทีม ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ บาร์เซโลน่า เป็นต้น ต่างก็คาดหวังที่จะนำแชมป์มาสู่ทีม ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับวงการลูกหนังในปัจจุบันที่ต้องการความสำเร็จในแบบที่ไม่ต้องใช้เวลารอนาน แต่บางครั้งเงินก็ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง


สำหรับเรื่องนี้ "เดอะ ซัน" สื่อดังในประเทศอังกฤษ ได้จัดอันดับสโมสรที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา แต่การลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยง ฉะนั้นบางทีมอาจจะบรรลุเป้าหมายในการใช้เงินซื้อความสำเร็จ แต่บางทีก็ไม่เป็นเช่นนั้น 1. เรอัล มาดริด (2019) = 270 ล้านปอนด์ (ราว 10,260 ล้านบาท) แน่นอนว่า "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ยังคงครองเบอร์ 1 ในเรื่องการใช้จ่ายเงิน ส่วนหนึ่งมาจากการที่พวกเขาเพิ่งควักกระเป๋าซื้อ เอแด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม มาจาก "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา จอมทัพร่างเล็กสลัดน้ำหมึกเซ็นสัญญามาอยู่ในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว ด้วยสนนราคา 103 ล้านปอนด์ (ราว 3,914 ล้านบาท) โดยเขาเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของ "โลส บลังโกส" เพื่อที่จะครอบครองความยิ่งใหญ่ใน ลา ลีก ก่อนหน้านี้ทีมก็จ่ายหนักไม่เบาในการกระชากตัว ลูก้า โยวิช ประมาณ 54 ล้านปอนด์ (ราว 2,052 ล้านบาท), แฟร์กล็องด์ เมนดี้ 43 ล้านปอนด์ (ราว 1,635 ล้านบาท) และ โรดริโก้ 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) แม้ในซีซั่นล่าสุดพวกเขาจะตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ตาม แต่ทีมก็ยังคว้าแชมป์ลา ลีกา เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 2. ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (2017) = 252 ล้านบาท (ราว 9,576 ล้านบาท) ในยุคที่อูไน เอเมรี่ กุมบังเหียน "เปแอสเช" เขาสร้างสถิติในวงการตลาดซื้อขายนักเตะด้วยการทุ่มเงินเป็นสถิติโลกจำนวน 198 ล้านปอนด์ (ราว 7,542 ล้านบาท) ในการคว้าตัว เนย์มาร์ กองหน้าพรสวรรค์เทคนิคสูง มาจาก "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า การได้ตัวหัวหอกชาวบราซิเลียนมาร่วมสังกัดทำให้ แซงต์-แชร์กแมง คาดหวังที่จะคว้าแชมป์ถ้วยใบโตยุโรป แถมในเวลานั้นทีมยังยืมตัว คีลิยัน เอ็มบัปเป้ มาจาก โมนาโก (ปัจจุบันเซ็นถาวรแล้ว) ขณะที่ ยูริ เบร์ชีเช่ แบ็กซ้ายของ เรอัล โซเซียดาด ก็ย้ายมาเล่นให้กับ "เปแอสเช" ด้วยราคา 14 ล้านปอนด์ (ราว 532 ล้านบาท) นอกจากนี้ทีมยังได้ ดานี่ อัลเวส กับ ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า มาเสริมแกร่งแบบไม่มีค่าตัว ในเวลานั้นทีมคว้าแชมป์ลีก เอิง ได้สำเร็จ แต่ก็ไปไม่ถึงฝังฝันด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่หมายปองเอาไว้ 3. เรอัล มาดริด (2009) = 230 ล้านปอนด์ (ราว 8,470 ล้าบาท) ต้องบอกเลยว่าในปีนั้น เรอัล มาดริด ได้สร้าง "กาลาติกอส" ยุค 2 ขึ้นมาด้วยการซื้อผู้เล่นระดับเวิลด์ คลาส มาเสริมทัพ โดยกระชากตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาจาก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยราคาประมาณ 85 ล้านปอนด์ (ราว 3,230 ล้านบาท) ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อทีมยังจัดการรวบตัว ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์หล่อฟ้าประทานด้วยราคา 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,280 ล้านบาท) ตามด้วยการสอยหัวหอกในฝันอย่าง คาริม เบนเซม่า มาจาก โอลิมปิก ลียง ด้วยราคาประมาณ 32 ล้านปอนด์ (ราว 1,216 ล้านบาท) ตามด้วยการกระชาก ชาบี อลอนโซ่ มาจาก ลิเวอร์พูล ราคา 31 ล้านปอนด์ (ราว 1,178 ล้านบาท) ต้องบอกเลยว่านี่คือหนึ่งในช่วงซัมเมอร์ที่สาวก "ราชันชุดขาว" จดจำไม่เคยลืมเลือน แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือสโมสรจบอันดับ 2 ในตารางลีก และร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" 4. ยูเวนตุส (2018) = 229 ล้านปอนด์ (ราว 8,702 ล้านบาท) ชายคนเดียวคนเดิมที่ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการควักกระเป๋าจ่ายเงินนั่นก็คือ โรนัลโด้ โดยในเวลานั้นเขาตัดสินใจอำลา เรอัล มาดริด เมื่อปี 2018 เพื่อไปเล่นให้กับ ยูเวนตุส โดยการปิดยุคทองกับ "ราชันชุดขาว" แต่มาเปิดยุครุ่งเรืองครั้งใหม่กับ "ม้าลาย" สตาร์ดังชาวโปรตุกีส ซึ่งผ่านการคว้าแชป์แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 5 สมัย (เรอัล มาดริด 4 สมัย, แมนฯ ยูไนเต็ด 1 สมัย) ย้ายมาเล่นในถิ่นอันลิอันซ์ สเตเดี้ยม ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ (ราว 3,990 ล้านบาท) ซึ่งในปีนั้นถือเป็นเรื่องที่สุดฮือฮาในตลาดลูกหนังมากๆ นอกจากนี้ ยูเว่ ยังควักเงินซื้อ ชูเอา คันเซโล่ มาจาก "ไอ้ค้างคาว" บาเลนเซีย ราคา 36 ล้านปอนด์ (ราว 1,368 ล้านบาท), ดั๊กลาส คอสต้า ไม่มีค่าตัว และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่กลับคืนสู่เหย้า ในราคาเพียง 32 ล้านปอนด์ (ราว 1,216 ล้านบาท) ยูเวนตุส คว้าแชมป์เซเรีย อา อีกสมัยภายใต้การบริหารงานของ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ในฤดูกาลนั้น แต่น่าเสียดายที่ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก


communicorp.net

10 ทีมจอมทุ่มวงการลูกหลัง


5. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017) = 222 ล้านปอนด์ (ราว 8,436 ล้านบาท) สำหรับฤดูกาลแรกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2016/2017) นั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่สามารถนำทีมคว้าแชมป์อะไรได้เลย แต่สิ่งที่เขาทำคืออะไรนะเหรอ ? การสะกิดบอร์ดบริหารให้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการซื้อนักเตะที่เขาต้องการนำมาสร้างทีม เริ่มตั้งแต่ เบนฌาแม็ง เมนดี้ ฟูลแบ็กค่าตัว 52 ล้านปอนด์ (ราว 1,967 ล้านบาท) ตามด้วย ไคล์ วอล์คเกอร์ ค่าตัว 47 ล้านปอนด์ (ราว 1,786 ล้านบาท) ส่วนอีกรายก็คือ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ค่าตัวประมาณ 45 ล้านปอนด์ (ราว 1,710 ล้านบาท) เท่านั้น


ขณะที่ปัญหาผู้รักษาประตูได้รับการแก้ไขด้วยการคว้าตัว เอแดร์ซอน ในราคา 36 ล้านปอนด์ (ราว 1,368 ล้านบาท) บทสรุปในซีซั่นถัดมา เป๊ป สามารถนำทีมผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างยิ่งใหญ่พร้อมสถิติเก็บ 100 คะแนนเป็นทีมแรกในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี 6. บาร์เซโลน่า (2017) = 194 ล้านปอนด์ (ราว 7,372 ล้านบาท) ยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นกาตาลุนย่า เป็นที่รู้จักในฐานะ "เจ้าบุญทุ่ม" อยู่แล้ว โดยในปี 2017 พวกเขาตัดสินใจเบิกเงินในบัญชีครั้งสำคัญเพื่อกระชากตัว 2 ผู้เล่นที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเข้ามายกระดับให้กับทีม ซึ่งในเวลานั้น บาร์เซโลน่า พร้อมจ่ายไม่อั้นจริงๆ รายแรกก็คือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิเลียน ที่ทีมยอมควักเงินถึง 105 ล้านปอนด์ (ราว 3,990 ล้านบาท) ให้กับลิเวอร์พูล เพื่อยอมปล่อย "คูตี้" มาเล่นในถิ่นคัมป์ นู ขณะที่อีกรายได้แก่ อุสมาน เดมเบเล่ ดาวเด่นจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งมีค่าตัวประมาณ 89 ล้านปอนด์ (ราว 3,382 ล้านบาท) หากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ต้องยอมรับว่า คูตินโญ่ กับ เดมเบเล่ เป็นการลงทุนที่น่าผิดหวังสำหรับบาร์เซโลน่า อย่างไรก็ตามค่าตัวของทั้งสองคนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับฐานะการเงินของทีมมากนัก เพราะพวกเขาได้เงินค่าตัวจากการขาย เนย์มาร์ ในปีเดียวกัน มาชดเชย 7. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2015) = 185 ล้านปอนด์ (ราว 7,030 ล้านบาท) ก่อนหน้าที่ "เป๊ป" จะเข้ามาคุมหางเสือ "สำเภาทอง" พร้อมกับการทุ่มเงินซื้อนักเตะเก่งๆ มาร่วมทัพ พวกเขาเคยจ่ายหนักมาแล้วในยุคที่ มานูเอล เปเยกรีนี่ รั้งตำแหน่งนายใหญ่ โดยในเวลานั้นทีมควักกระเป๋าจัดหนักจัดเต็มจำนวน 185 ล้านปอนด์ในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งฤดูร้อน 2015 เควิน เดอ บรอยน์ ย้ายมาจาก โวล์ฟสบวร์ก ด้วยค่าตัว 68 ล้านปอนด์ (ราว 2,584 ล้านบาท), ราฮีม สเตอร์ลิง ย้ายจาก ลิเวอร์พูล ราคา 57 ล้านปอนด์ (ราว 2,166 ล้านบาท) ขณะที่ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ย้ายจาก บาเลนเซีย ด้วยค่าตัวประมาณ 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม การทุ่มเงินมหาศาลขนาดนั้น แต่ผลงานของทีมไม่ได้ดีขึ้นเลย เมื่อพวกเขาจบฤดูกาลในอันดับ 4 ของตารางลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ซึ่งแน่นอนว่าการใช้เงินเยอะขนาดนั้นแต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้ นั่นก็หมายความว่าชะตาชีวิตของ เปเยกรีนี่ ก็ขาดสะบั้นเช่นกัน 8. เชลซี (2017) = 183 ล้านปอนด์ (ราว 6,954 ล้านบาท) หลังากที่นำ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือชาวอิตาเลียน ก็พยายามขยายขนาดของทีมเพื่อให้พร้อมสำหรับการสู้ศึกสำคัญ โดยในเวลานั้นนายใหญ่จอมโวยวายเล็งนักเตะเด็ดๆ เอาไว้หลายคน อัลบาโร่ โมราต้า ย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 59 ล้านปอนด์ (ราว 2,242 ล้านบาท) จาก เรอัล มาดริด, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ จาก โมนาโก ด้วยสนนราคา 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) ยังไม่หมดแค่นั้นโดยมีทั้ง แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ค่าตัว 34 ล้านปอนด์ (ราว 1,292 ล้านบาท) ตามด้วย อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ค่าตัว 31 ล้านปอนด์ (ราว 1,178 ล้านบาท) และ ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า ค่าตัว 19 ล้านปอนด์ (ราว 722 ล้านบาท) ที่สำคัญนักเตะทั้งหมดนี้มีเพียงแค่ 1 รายเท่านั้นที่ยังคงได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ "สิงห์บูลส์" อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา communicorp.net 9. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2014) = 174 ล้านปอนด์ (ราว 6,612 ล้านบาท) หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือมากประสบการณ์ชาวดัตช์ มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะนำความสำเร็จมาสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาทำงานแทนที่ เดวิด มอยส์ ซึ่งโดนเฉดหัวออกจากทีมพร้อมกับผลงานที่แสนย่ำแย่เหลือทน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 "จารย์หลุยส์" สะกิดบอร์ดบริหารให้ควักเงินจำนวน 68 ล้านปอนด์ (ราว 2,584 ล้านบาท) ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่แพงที่สุดที่สโมสรทุ่มซื้อนักเตะในเวลานั้น ให้กับ เรอัล มาดริด เพื่อจะได้ตัว อังเคล ดิ มาเรีย ปีกจอมพลิ้วชาวอาร์เจนไตน์ มาเสริมแกร่ จากนั้นก็สอย ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมปตัน ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ (ราว 1,292 ล้านบาท) และ อันเดร์ เอร์เรร่า มิดฟิลด์ชาวสแปนิชจาก แอธเลติก บิลเบา ค่าตัว 32 ล้านปอนด์ (ราว 1,216 ล้านบาท) ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อทีมคว้าตัว มาร์กอส โรโฮ จาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ค่าตัว 18 ล้านปอนด์ (ราว 684 ล้านบาท) และยืมตัว ราดาเมล ฟัลเกา ซึ่งสื่อรายงานว่ามีค่ายืมตัวอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านปอนด์ (ราว 266 ล้านบาท) เมื่อดูจากรายชื่อการเสริมทัพผสมกับนักเตะที่มีอยู่ในทีม ดูเหมือน "ปีศาจแดง" จะมีลุ้นความสำเร็จมากมายก่ายกอง แต่สุดท้ายพวกเขาทำได้แค่อันดับ 4 ในตารางลีก พร้อมกับไร้โทรฟี่ไปประดับตู้โชว์ใน "โรงละครแห่งความฝัน" ในซีซั่น 2014/2015 10. เอซี มิลาน (2017) = 172 ล้านปอนด์ (ราว 6,536 ล้านบาท) ในเวลานั้น วินเชนโซ่ มอนเตลล่า ทำหน้าที่กุมบังเหียน โดยเขาพยายามที่จะนำ เอซี มิลาน หวนกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการทุ่มเงินสร้างทีมใหม่ โดยคว้าผู้เล่นพรสวรรค์หลายคนมาร่วมทัพ ซึ่งในเวลานั้นทีมยอมจ่ายเงินสูงถึง 172 ล้านปอนด์เลยทีเดียว เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ย้ายมาจาก ยูเวนตุส เพื่อที่จะแก้ปัญหาเกมรับโดยมีค่าตัวประมาณ 38 ล้านปอนด์ (ราว 1,444 ล้านบาท) ตามด้วย อันเดร ซิลวา ย้ายจาก เอฟซี ปอร์โต้ ราคาประมาณ 34 ล้านปอนด์ (ราว 1,292 ล้านบาท), ฮาคาน คัลฮาโนกลู เจ้าพ่อลูกนิ่งที่ย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ (ราว 798 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมี อันเดรีย คอนติ จาก อตาลันต้า ค่าตัว 22 ล้านปอนด์ (ราว 836 ล้านบาท) รวมทั้ง ลูกัส บีย่า, มาเตโอ มูซัคคิโอ, ริคาร์โด้ โรดริเกซ อย่างไรก็ตามการซื้อผู้เล่นมาเยอะแต่ไม่ได้ทำให้ มิลาน แข็งแกร่งขึ้นเลย ส่งผลให้ มอนเตลล่า โดนไล่ออก ทั้งๆ ที่คุมทีมเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น


ในปีนั้น "ปีศาจแดงดำ" จบในอันดับ 6 ของตารางศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และไม่ได้แชมป์อะไรเลย ฉะนั้นการลงทุนมหาศาลไม่ได้การันตีว่าทีมจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ความสำเร็จบางครั้งก็ต้องอาศัยการรอคอย แม้การใช้เงินอาจจะทำให้คุณวาดฝันถึงความสำเร็จได้เร็ว แต่สุดท้ายความอดทนในการสร้างทีมจะนำความสำเร็จแบบยั่งยืนมาให้กับสโมสร....

 
 
 

Comments


Post: Blog2_Post

Subscribe Form

Thanks for submitting!

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn

©2019 by UFABET369. Proudly created with Wix.com

bottom of page