ดราม่าฆ่าไม่ตาย ! ปารีส พลิกนรกยิง 2 ประตูท้ายเกมเฉือน อตาลันต้า
- mynxwinter22
- Aug 21, 2020
- 2 min read
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ต้องใช้กำลังภายในจนหยดสุดท้ายกว่าจะเอาชนะ อตาลันต้า ทีมเล็กๆ หัวใจใหญ่ด้วยสกอร์ 2-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกับคว้าตั๋วเข้ารอบตัดเชือกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 1994/1995
"เปแอสเช" โดนลูบคมไปก่อนจาก มาริโอ ปาซาลิช ในนาทีที่ 27 ขณะที่ยอดทีมลีกเอิง พยายามเปิดเกมบุกเข้าใส่ตลอด และสร้างโอกาสได้มากมาย แต่กว่าจะได้ประตูตีเสมอก็ต้องปาเข้าไปนาทีที่ 90 จาก มาร์กินญอส และเกมดูเหมือนจะต้องต่อเวลาพิเศษ แต่ก็เป็น เอริค-มักซิม ชูโป-โมติง สวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยในช่วงทดเจ็บ สำหรับผลงานของ แซงต์-แชร์กแมง ในเกมนี้ทำให้พวกเขาได้ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีเลยทีเดียว ขณะเดียวกัน เนย์มาร์ ก็ได้แสดงให้ทุกๆ คนได้เห็นแล้วว่าทำไมเขาถึงคู่ควรกับคำว่านักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก 1. เนย์มาร์ มหาประลัย เกมนี้ เนย์มาร์ ต้องบอกเลยว่าเป็น "เดอะ แบก" ของทีมอย่างแท้จริง เพราะได่โชว์ให้เห็นถึงศักยภาพความเป็นยอดนักเตะ และนี่คือเหตุผลที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยอมทุ่มเงินมหาศาลจะเป็นสถิติโลก เพื่อกระชาก ดาวเตะเลือดแซมบ้ามาเสริมทัพในปี 2017 กองหน้าทีมชาติบราซิล พลาดโอกาสทองในช่วงต้นเกมจากจังหวะหลุดเดียว แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็แสดงให้เห็นถึงทักษะขั้นเทพด้วยการปั่นป่วนผู้เล่น อตาลันต้า ตลอดทั้งเกม โดยเฉพาะสองประตูทองที่ "เปแอสเช" ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของเจ้าตัวด้วยเช่นกัน
สถิติที่สุดโหดของ เนย์มาร์ ในเกมนี้ต้องบอกว่าน่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะสามารถเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 16 ครั้งจากความพยายาม 20 ครั้ง แต่หากจะมีจุดที่ตำหนิก็คงมีแค่เพียงการจบสกอร์ เพราะแมตช์นี้ อดีตสตาร์บาร์เซโลน่า ยิงทิ้งยิงขว้างเยอะมาก ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ว่าทำไม "เปแอสเช" ถึงกล้ามอบค่าเหนื่อยจำนวนมหาศาล 620,000 ปอนด์ (ราว 23.56 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 32.2 ล้านปอนด์ (ราว 1,223 ล้านบาท) ต่อปีให้กับ เนย์มาร์ และฟอร์มในวันนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทำไมเขาถึงได้รับเงินเข้ากระเป๋ามากกว่านักเตะอตาลันต้าทั้งทีม 2. สิ่งที่รอคอยมานานในที่สุดก็ทำได้ นับตั้งแต่ที่ กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ กาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสต์เมนต์ส (คิวเอสไอ) เข้ามาเทกโอเวอร์ เมื่อปี 2011 ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สโมสรแห่งนี้ก็สามารถครอบครองความเป็นเจ้าลูกหนังเมืองน้ำหอมได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่สิ่งที่ยังขาดหายไปก็คือการเป็นจ้าวลูกหนักฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรป แน่นอนว่านี่คือโทรฟี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ "เปแอสเช" ปรารถนาอย่างมาก โดยตลอด 9 ปีที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ "คิวเอสไอ" แซงต์-แชร์กแมง มีโอกาสได้เข้ามาโม่เกือกในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างต่อเนื่อง แต่ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาก็ไปได้ไกลแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น ยิ่งในช่วง 3 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ ทีมของกุนซือ โธมัส ทูเคิ่ล ทำได้แค่ลงเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น etypemedia.com อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอมานานก็ทำสำเร็จแล้วเมื่อสามารถปราบ อตาลันต้า พร้อมกับตีตั๋วเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 1994/1995 นอกจากนี้ แซงต์-แชร์กแมง ยังสามารถล้างอาถรรพ์ในการพบกับสโมสรจากประเทศอิตาลีได้สำเร็จ เพราะก่อนหน้านี้ 6 แมตช์พวกเขาไม่สามารถชนะคู่แข่งจากดินแดนรองเท้าบู้ทได้เลยในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเป็นการเสมอ 4 และแพ้ 2
เจาะหลังเกมปารีสฯพลิกนรก
3. เอ็มบัปเป้ ยังคงเป็นคีย์แมนของทีมเสมอ จริงๆ แล้วในเกมนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อาจจะไม่ต้องมาลุ้นระทึกจนถึงช่วงท้ายเกม ในขณะเดียวกัน อตาลันต้า อาจจะหมดลุ้นไปตั้งแต่ช่วงแรก หากในแมตช์นี้ "เปแอสเช" มี คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ลงสนามตั้งแต่ต้นเกม หัวหอกแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 จำเป็นต้องนั่งดูเพื่อนร่วมทีมลงเล่นในเกมนี้ เนื่องจากยังมีอาการเจ็บที่ข้อเท้า ซึ่งนักเตะอาจจะไม่ได้ลงสนามในเกมนี้ แต่สุดท้าย ทูเคิ่ล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสี่ยงส่ง เอ็มบัปเป้ ลงสนาม ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย เพื่อหวังจะได้ความมหัศจรรย์ของเขานำทีมพลิกสถานการณ์จากที่ตกเป็นรอง
การที่ เอ็มบัปเป้ ลงเล่นทำให้เกมรุกของ แซงต์-แชร์กแมง น่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม และทำให้ เนย์มาร์ มีคู่หูรู้ใจมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ หัวหอกเลือดเฟร้นช์ สามารถดึงความสนใจของแนวรับอตาลันต้ามาที่ตัวเขา ทำให้ กองหน้าชาวบราซิเลียน มีอิสระในการเล่นมากยิ่งขึ้น และได้ใช้ทักษะส่วนตัวในการจัดการคู่แข่งได้อย่างอยู่หมัด จังหวะที่ทีมได้ประตูชัยจะเห็นได้ชัดถึงการเล่นที่เข้าขาของพวกเขา โดย เนย์มาร์ ทิ่มบอลตัดหลังแนวรับอตาลันต้า ในขณะที่ เอ็มบัปเป้ วิ่งไปรับบอลก่อนที่จะตบเข้ากลางให้ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง กระทุ้งง่ายๆ สบายๆ ส่ง "เปแอสเช" ลอยลำเข้าสู่รอบตัดเชือกอย่างงดงาม 4. อตาลันต้า เกือบทำช็อกโลก ผลงานของ อตาลันต้า ต้องบอกว่าเลยว่าน่าสนใจมากๆ เพราะในศึกกัลโช่ เซเรีย อา ก็สามารถจบอันดับ 3 พร้อมกับยิงได้ถึง 98 ประตูซึ่งมากที่สุดในลีกสูงสุดเมืองมะกะโรนี โดยสโมสรจากเมืองแบร์กาโม่ เกือบที่จะทำให้คอลูกหนังต้องช็อก เมื่อพวกเขาก้าวเท้า 1 ข้างเข้ารอบตัดเชือกไปแล้ว สกอร์นำ 1-0 กับเวลาที่เหลืออีกแค่ 5 นาที ในเวลานั้นนักเตะและแฟนบอลของอตาลันต้า เริ่มวาดฝันถึงการได้เล่นในรอบรองชนะเลิศ ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งถือว่าเป็นสโมสรขนาดเล็กที่จะได้เข้าสู่รอบสำคัญนี้ นับตั้งแต่ที่ ดันดี ยูไนเต็ด สโมสรในสกอตแลนด์ ที่เคยทำได้เมื่อปี 1984 การเล่นที่เน้นทีมเวิร์ก ไม่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ สามารถสร้างแรงกดดันใส่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ได้อย่างสุดยอด ที่สำคัญฟอร์มของพวกเขาในแมตช์นี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม อตาลันต้าชุดนี้ถึงเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นเกมบุกได้สนุกเร้าใจที่สุดในยุโรป จำนวนประตูที่ทีมทำได้ 116 ประตู จากการเล่นในทุกรายการประจำฤดูกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นในเกมเล่นเกมรุกของ อตาลันต้า แต่น่าเสียดายเกมรับของพวกเขายังมีจุดอ่อนโดยเฉพาะเวลาที่ต้องรับมือกับผู้เล่นชั้นยอดที่มีอยู่เต็มทีม แซงต์-แชร์กแมง 5. พลังเกมบุกที่น่ากลัว แต่ขาดความเฉียบคม แซงต์-แชร์กแมง แสดงให้บรรดาคู่แข่งในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ต้องหวาดหวั่นในเรื่องของสปิริตนักสู้ และการพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้แม้จะตกเป็นรอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนักเตะ และขุมกำลังของทีมที่สามารถลงสนามเพื่อเปลี่ยนเกมได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามในความยอดเยี่ยมของการเล่นเกมบุก ก็มีจุดที่ให้ต้องแก้ไขเช่นกัน นั่นก็คือความเฉียบคม แมตช์นี้ "เปแอสเช" สร้างโอกาสในการยิงประตูได้หลายครั้ง แต่ดันขาดความเฉียบคม ซึ่งนี่เป็นจุดที่ ทูเคิ่ล ต้องรีบนำกลับไปแก้ไขเป็นการด่วน
กระนั้นผลงานของทีมในเกมนี้ก็ทำให้ แซงต์-แชร์กแมง กลายเป็นทีมที่ 4 ที่สามารถพลิกนรกจากที่กำลังจะแพ้กลับมาชนะได้ภายในเวลา 90 นาทีของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนหน้านี้ก็มีแมตช์ บาเยิร์น มิวนิค พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (นัดชิง ฤดูกาล 1998/1999), เชลซี พบ บาเยิร์น มิวนิค (รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2004/2005) และ มาลาก้า พบ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2012/2013) ที่เคยทำได้
Commentaires