พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ อดีตแชมป์มวยถ้วยพระราชทาน สู่ สยามกีฬา อวอร์ดส์”
- mynxwinter22
- Dec 18, 2019
- 2 min read
พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ กับเส้นทางชีวิตการต่อสู้ของ อดีตแชมป์มวยสากลเวทีราชดำเนินก็เช่นเดียวกันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยขวากหนามทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าตัวมีความปลาบปลื้มภาคภูมิใจที่สามารถก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นจนกระทั่งได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯรวมทั้งชกต่อหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เหนือหัวอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวสยาม นอกจากนี้แล้วยังได้มีโอกาสเปิดศึกสายเลือด ชิงแชมป์โลกจาก “ชาติชาย เชี่ยวน้อย” แม้ว่าจะพลาดแต่เจ้าตัวก็ภาคภูมิใจ
ย้อยรอยอดีตเส้นทางชีวิตการค้ากำปั้น ของอดีตแชมป์มวยสากลเวทีราชดำเนินท่านนี้ต้องบอกว่าน่าสนใจมากทีเดียวเพราะเต็มไปด้วยการต่อสู้ มีความ วิริยะ อุตสาหะ เป็นที่ตั้ง โดยฮอลล์ ออฟเฟม “สยามกีฬา อวอร์ดส์ ครั้งที่13” ท่านนี้มีชื่อจริงว่า นายสัมพันธ์ หมั่นกิจ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2486 ภูมิลำเนาเป็นชาว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มีพี่น้องทั้งหมด 8 คนพ่อแม่มีอาชีพทำนาฐานะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ขัดสน เริ่มต้นชกมวยเมื่ออายุ 12 ปี โดยใช้ชื่อชกมวยว่า “พันธ์ทิพย์ ลูกลาดขวาง”
โดยชื่อนี้ พันธ์ทิพย์ คิดตั้งขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อให้คล้องจองกับหมู่บ้านที่พำนักอาศัย โดยขึ้นชกในรูปแบบมวยไทยปรากฏว่าเป็นฝ่ายชนะคะแนนได้ค่าตัว 20 บาทซึ่งถือว่าสูงมากในสมัย 60 กว่าปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ตะเวณชกตามแถบ จ.หนองคาย, อุดรธานี บางครั้งมีเดิมพันติดปลายนวม บางครั้งก็ใช้ชื่ออื่นขึ้นชกซึ่งแม้ว่ารูปร่างจะเล็ก แต่มีจุดเด่นตรงหมัดซ้ายหนักหน่วง แข้งรุนแรงจึงสร้างสถิติน็อกเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว
เส้นทางชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่ออยู่มาวันหนึ่งทางด้าน “ครูจวน สุริยะกุล” หัวหน้าค่าย “ร.ฟ.ท.” ซึ่งขณะนั้นมีมวยระดับแม่เหล็กอยู่ในสังกัดมากมายและมีดีกรีเป็นถึงแชมป์เวทีมวยมาตรฐานด้วย ไปจัดมวยที่ จ.อุดรธานี และ พันธ์ทิพย์ก็ได้มีโอกาสร่วมชกในรายการมวยประจำปีทุ่งศรีเมือง ซึ่งถือว่าเป็นงานช้างของจังหวัดโดยครูจวนจัดมวย 3 วัน 3 คืน และในครั้งนี้เองที่พันธ์ทิพย์ได้สร้างผลงานชนะน็อกคู่ต่อสู้ในคืนแรก และคืนที่ 2 พอคืนที่ 3 พันธ์ทิพย์เป็นฝ่ายชนะคะแนนคู่ชก หลังจากนั้นครูจวน จึงได้เข้ามาทาบทามเพราะเห็นแววความโด่งดัง และตรงนี้เองที่ “พันธ์ทิพย์” ได้เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอำลาพ่อแม่พี่น้องเพื่อเข้ามาแสวงหาความก้าวหน้าที่เมืองกรุงพร้อมเรียนหนังสือควบคู่กันไปด้วย
ค่ายมวยร.ฟ.ท.ตั้งยู่บริเวณชุมทางรถไฟบางซื่อ ช่วงแรกชีวิตการชกมวยของพันธ์ทิพย์นั้น ทางด้านครูจวนต้องตระเวนพาไปหาประสบการณ์ตามแถบเวทีภูธรก่อน เมื่อแกร่งกล้าแล้วจึงถุกเสนอชกที่เวทีมวยราชดำเนิน ซึ่งตรงนี้เอง “พันธ์ทิพย์ รฟท.”ได้มีโอกาสสร้างชื่อสร้างผลงานในรูปแบบมวยไทยปะทะกับยอดมวยที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นอย่าง ปัจจัย ศรีจันทร์ทโรภาส,น็อก พยัคฆ์น้อย คล้องผจญ ในยกที่4
เวลาต่อมาพันธ์ทิพย์ จำต้องย้ายสถานที่ซ้อมไปอยู่ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้เพราะครูจวน ได้มอบพันธ์ทิพย์ไปให้ อาจารย์ประกิจ สุริยะกุล ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งย้ายไปรับตำแหน่งใหม่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพนมสารคาม ไปดูแล ขยายสาขาค่ายมวยพร้อมทั้งได้ชกเคลื่อนไหวร่างกายตามแถบแปดริ้ว,ปราจีนบุรี,สระแก้ว,จันทบุรี ฯลฯอีกด้วย
จุดเปลี่ยนแปลงที่ต้องหักเหเส้นทางจากมวยไทย มาชกสากลอยู่ตรงนี้เมื่อวันหนึ่ง ทางด้าน โผน กิ่งเพชร ที่เพิ่งคว้าแชมป์โลกด้วยการเอาชนะ ปาสคาล เปเรส ยักษ์แคระจากอาร์เจนติน่า ได้ถูกเชิญไปโชว์ตัวพร้อมชกโชว์ที่ จ.จันทบุรี และตรงนี้เองที่พันธ์ทิพย์ ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นคู่ลงนวมกับทางแชมป์โลกคนแรกของไทย
หลังชก อาจารย์นิยม ทองชิต ผู้จัดการและเทรนเนอร์ของโผน ถึงกับเอ่ยปากชมพร้อมแนะนำว่าควรจะหันมาชกสากล เนื่องจากเห็นจุดเด่นตรงที่สายตาดี หมัดหนัก ถ้าเอาดีในด้านนี้น่าจะไปไกลกว่ามวยไทย ครูจวน สุริยะกุล จึงตัดสินใจให้เด็กหนุ่มจาก อ.ท่าบ่อ หันมาชกมวยสากลอย่างจริงจังเมื่อ ปี2505
พันธ์ทิพย์ ก็ไม่ได้สร้างความผิดหวังเมื่อสร้างฟอร์มชนะน็อกทาตลอด 3-4 ไฟท์ ก่อนที่จะได้รับการผลักดันให้ก้าวชิงแชมป์มวยสากลรุ่นฟลายเวต 112 ปอนด์เวทีราชดำเนินกับ สิงห์เงิน สมานชัย ซุ่งการชกครั้งนี้ พันธ์ทิพย์ เป็นฝ่ายเอาชนะ สร้างเกียรติประวัติครอบครองแชมป์เป็นเส้นแรกในชีวิต
หลังจากนั้นชกชนะน็อก วีระ ยิ่งศักดิ์ ในยกที่ 9 และ ชนะคะแนน ชายธง สิงห์เชื้อเพลิง ป้องกันแชมป์ราชดำเนินไว้ได้ พันธ์ทิพย์ จึงได้มีโอกาศขึ้นชิงแชมป์มวยสากลแห่งประเทศไทยรุ่นฟลายเวต และเขาทำสำเร็จได้ครองแชมป์มวยสากลรุ่นฟลายเวตแห่งประเทศไทยด้วยการเอาชนะ วุฒิพงษ์ เที่ยมประสิทธิ์ นอกกจากนี้ยังชนะคะแนน สมชาติ ศุภสมุทร อย่างสวยงาม
ปีนั้นได้มีการจัดชกมวยรายการพิเศษรายได้โดยเสด็จพระราชกุศล สมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล พันธ์ทิพย์ ถูกจับประกบคู่ชิงถ้วยพระราชทานกับ วิทยาน้อย สิงห์ยอดฟ้า อันเป็นการชกที่ พันธ์ทิพย์ พากภูมิใจที่สุดในชีวิต ซึ่งเขาเป็นฝ่ายชนะคะแนน วิทยาน้อย ได้ครองถ้วยพระราชทานฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวมีความปลื้มปิติเป็นล้นพ้น
ขณะนั้น “พญาอินทรีย์”เทียมบุญ อินทรบุตร ผู้สนับสนุนอีกคนได้เดินแผนสร้าง พันธ์ทิพย์ ด้วยการหามวยระดับโลกมาให้ พันธ์ทิพย์ ได้สร้างฟอร์มสร้างผลงาน ทั้งญี่ปุ่น,ฟิลิปินส์,อินโดฯและตรงนี้เองที่ พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ ได้มีโอกาสปะทะกับ นากามูระ (เคยชนะชาติชาย เชี่ยวน้อย) ถึง 2 ครั้ง 2 ครา โดยครั้งแรกแพ้แบบคาใจที่ญี่ปุ่น ก่อนมาแก้มือที่กรุงเทพแล้วชนะคะแนนแก้มือได้สำเร็จ
เมื่อชนะ นากามูระ ในการชกอุ่นเครื่องนอกรอบได้ ทีมงานส่งเสริมพันธ์ทิพย์ จึงผลักดันเขาต่อกระทั่งได้โอกาสไปชกชิงตำแหน่งแชมป์ภาคตะวันออกไกลรุ่นฟลายเวต กับ สึโยชิ นากามูระ ที่เคยแพ้ชนะกันมาคนละครั้ง เพียงแต่คราวนั้น พันธ์ทิพย์ ต้องเดินทางไปชกที่โตเกียว พันธ์ทิพย์ ไม่สามารถต้านความแข็งแกร่งของ นากามูระได้ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ชวดตำแหน่งแชมป์ภาคฯ ไป
อย่างไรก็ตามเส้นทางชีวิตการต่อสู้ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ในเวลาต่อมาพันธ์ทิพย์ ได้มีโอกาสสร้างฟอร์มเอาชนะคู่ชกได้อีก 3 ครั้ง คราวนี้กลุ่มผู้สนับสนุนตัดสินใจผลักดันให้ชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท สภามวยโลก จาก ชาติชาย เชี่ยวน้อย ที่เวทีมวยกิตติขจร หัวหมาก เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2510 กลายเป็น “ศึกสายเลือดชิงแชมป์โลก” ของประเทศไทยครั้งแรก
ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรการแข่งขันศึกสายเลือดคู่นี้ด้วย โดยผลการต่อสู้ปรากฏว่า ชาติชาย เป็นฝ่ายเผด็จศึกชนะน็อกไปในยกที่ 3 สามารถรักษาเข็มขัดเอาไว้ได้สร้างความผิดหวังให้กับพันธ์ทิพย์และกลุ่มผู้สนับสนุนไม่น้อย
หลังการพ่ายแพ้พันธ์ทิพย์ ได้มีโอกาสขึ้นสังเวียนชกอีก 3 ครั้งสุดท้ายจึงประกาศอำลาสังเวียนผืนผ้าใบจากนั้นก็เดินทางไปศึกษาต่อคอมพิวเตอร์ ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมตระเวณชกโชว์อีก 2 ปีจนจบคอร์ส จากนั้นจึงเดินทางกลับสู่ถิ่นฐานแผ่นดินเกิด โดยรายละเอียดต่างๆ ทางด้านอดีตแชมป์มวยสากล และรองแชมป์โลกได้รำลึกถึงความหลังให้ฟังว่า
“จริงๆ แล้วผมกับชาติชายนั้นเป็นเพื่อนรักกันเลยเคยไปกินนอนเก็บตัวเมื่อครั้งที่ไปตระเวนชกมวยที่ญี่ปุ่น แต่ต้องมาชกกันเพราะผู้สนับสนุนผลักดันให้ชิงแชมป์โลก ก่อนชกมือซ้ายผมยังเจ็บอยู่เลยผลพวงจากการชกกับ นากามูระ ที่ต่อยไปโดนหัวเขา อีกอย่างผมรู้ดีว่า ชาติชาย นั้นหมัดหนักเพราะเราลงนวมซ้อมกันตลอดตอนอยู่ญี่ปุ่น ซึ่งในยกที่ 3 ผมก็พลาดจนได้ เสียใจที่ไม่ได้แชมป์ แต่ก็ภาคภูมิใจ และปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ที่ได้ชกต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครับ”
“หลังพ่ายแพ้ ผมอุ่นเครื่องอีก 3 ครั้งซึ่งก็ชนะรวด แต่สุดท้ายต้องเลิกเพราะต้องไปเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์ที่อเมริกา พร้อมได้มีโอกาสชกโชว์ที่เมืองซีแอตเติ้ล ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น 2 ปีก็เดินทางกลับไทย และตรงนี้เองที่ได้เจอกับ “ครูเสริม ยนตรกิจ” ซึ่งท่านก็ถามว่ามีงานการทำรึยัง จากนั้นครูเสริม พาไปหา “รองพจน์ โควินฆะ” ซึ่งสมัยนั้นท่านเป็นรอง ผอ.องค์การโทรศัพท์ และท่านก็ได้ผลักดันให้ผมได้ทำงานที่นี่ โดยทำงานมาตั้งแต่อายุ27-28ปี ทำเรื่อยมาจนเกษียณอายุราชการ”
ปัจจุบัน พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ หรือระดับ6 หลังเกษียร ผมได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านพักเลขที่802 ถ.ริมคลองมอญ ซอยวัดบางเสาธง ถนนจรัลสนิทวงศ์ ซอย19 เขตบางกอกน้อย กทม.โดยออาศัยอยุ่กับภรรยาผมชื่อ รัศมี หมั่นกิจ โดยผมมีลุกทั้งหมด3คน คนโตชื่อว่า นส.พีระพันธ์ หมั่นกิจ คนนี้เรียนจบปริญยาตรีที่อเมริกา ตอนนี้เป็นครูสอนพิเศษ คนรองชื่อประมุข น่าเสียดายอายุเขาสั้นเสียชีวิตไปแล้ว คนสุดท้องชื่อ ลือเดช ซึ่งเรียนจบแล้ว สำหรับทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ร่างกายยังคงแข็งแรง แต่ความจำอาจจะหลงลืมไปบ้างต้องค่อยๆรื้อฟื้น สำหรับเพื่อนนักมวยเก่าที่ยังติดต่อพบปะกันบ่อยๆก็มี เด่น ศรีโสธร,แดนชัย ยนตรกิจ,สมพงษ์ เจริญเมืองครับ”
นี่คือเรื่องราวชีวิตการต่อสู้ของอีกหนึ่งตำนานมวยที่ผแฟนมวยในอดีตและปัจุบันยังไม่มีใครลืมเขา….พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ ฮอลล์ออฟเฟม
รับชมข่าวสารวงการกีฬาต่อได้ที่ buy-instagram.com
Comments