top of page
Search

มาเน่ฮอต, ติอาโก้แจ่ม, เกปาห่วย ! เจาะ 6 ข้อ ลิเวอร์พูล ทุบ เชลซี

  • mynxwinter22
  • Oct 12, 2020
  • 2 min read

ลิเวอร์พูล ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม


โดยพวกเขาเพิ่งโชว์ฟอร์มสุดยอดบุกชนะ เชลซี 2-0 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยงานนี้สาวก "เดอะ ค็อป" สุดแฮปปี้กับฟอร์มการเล่นของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่ลงสนามเปิดตัวเพียงแค่ 45 นาทีแต่สร้างความแตกต่างให้กับสโมสรอย่างมาก จุดเปลี่ยนสำคัญของแมตช์นี้คงหนีไม่พ้นจังหวะที่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ทำฟาวล์ ซาดิโอ มาเน่ จนเป็นเหตุให้โดนใบแดงในช่วงท้ายครึ่งแรก


ส่งผลให้ครึ่งหลังเจ้าบ้านเสียเปรียบเป็นกระบุงโกย และสุดท้ายก็เลยโดน สตาร์ชาวเซเนกัล จัดการเหมาสองประตูให้ "หงส์แดง" บุกมาเก็บ 3 แต้มได้อย่างสวยหรู ที่สำคัญแมตช์นี้ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า โกล "สิงห์บลูส์" ทำผิดพลาดในจังหวะเสียประตูที่สอง ขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ กับไค ฮาแวร์ตซ์ ยังเล่นไม่ออก สวนทางกับ "เดอะ เร้ดส์" ที่นักเตะใหม่อย่าง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่ลงมาครึ่งหลัง แต่สร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการลูกหนังเมืองผู้ดีได้ทันที 1. มาเน่ ฟอร์มดุเกินห้ามใจ นับตั้งแต่ที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตันมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2016 มาเน่ ยังคงพัฒนาฟอร์มการเล่นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ฤดูกาล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นที่รักของบรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลก โดยเฉพาะความมทุ่มเทที่มีให้กับทีมทุกๆ วินาที มาเน่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเล่นตลอดเวเลา เขาไม่เคยหลุดสมาธิจากเกมไม่ว่าจะเจอกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างก็ตาม ในแมตช์นี้ สตาร์ดังชาวเซเนกัล มีส่วนสำคัญในการปั่นป่วนเกมรับของ "สิงโตน้ำเงินคราม" จนเสียกระบวนยุทธไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงท้ายครึ่งแรกที่เขามีโอกาสหลุดเดี่ยว แต่โดน อันเดรียส คริสเตนเซ่น เซนเตอร์แบ็กชาวเดนมาร์ก ดึงเอาไว้ จนเป็นเหตุให้ต้องโดนใบแดงไล่ออก และนั่นคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" สร้างความได้เปรียบมหาศาลในช่วงครึ่งหลัง แน่นอนว่าการเหลือผู้เล่น 10 คนในการสู้กับทีมที่มีแนวรุกดุดันอย่าง "หงส์แดง" จนเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าบ้านจะต้านทานไหว กอปรกับ มาเน่ ยังเล่นได้อย่างเข้าฝักด้วยการโหม่งอย่างเฉียบคมช่วยให้ทีมขึ้นนำ 1-0 จากนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความขยันไล่บี้จน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า โกลเชลซี เสียสมาธิเตะไปโดน มาเน่ ซึ่งเขาก็ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดลอยไป จัดการส่งบอลเข้าซุกก้นตาข่ายทันที แถมในช่วงท้ายครึ่งหลัง มาเน่ ยังมีโอกาสยิงไกลแต่ เกปา ยังไหวตัวทันปัดออกไปได้ซะก่อนไม่งั้นเจ้าตัวมีลุ้นทำแฮตทริกเลยทีเดียว ฉะนั้นฟอร์มของเขาในเกมนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่จะได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอบครอง 2. เกปา ยังไม่ดีพอสำหรับ เชลซี คงไม่ลืมกันว่า เกปา เป็นเจ้าของสถิติผู้รักษาประตูแพงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนัง แต่ผลงานของนักเตะดูเหมือนจะไม่คุ้มกับเม็ดเงินที่สโมสรทุ่มซื้อมาร่วมทีม ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยที่เขาจะถูกประเมินว่าผลงานยังไม่ดีพอที่จะเป็นมือ 1 "สิงห์บลูส์" ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่าแนวรับของ เชลซี คงเกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ กับผลงานของ เกปา ที่มีให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเล่นผิดพลาดแบบบไม่น่าจะเกิดขึ้นของเขา เพราะแทบทุกเกม นายด่านชาวสแปนิช มักจะมีเรื่องให้กองหลังต้องอกสั่นขวัญหายเป็นประจำ เกมล่าสุดที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ นายทวารวัย 25 ปี ยังคงรักษาการเล่นที่ผิดพาดได้อย่างที่ทุกๆ คนคาดหวังเอาไว้ เมื่อเขาดันทะลึ่งเตะบอลไม่ดีจนเป็นเหตุให้ มาเน่ ยื่นขากันเอาไว้ได้ และนำไปสู่การเสียประตูแบบไม่น่าจะเสีย ซึ่งทำให้ทีมต้องตกเป็นรองแบบกู่ไม่กลับ เมื่อมองไปที่ฝั่งของ ลิเวอร์พูล พวกเขามี อลีสซง เบ็คเกอร์ โกลชาวบราซิเลียน ที่มีฟอร์มการเล่นคงเส้นคงวา และมักจะป้องกันลูกสำคัญๆ ได้ตลอด แม้อาจจะมีจังหวะผิดพลาดบ้างแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้ทีมเสียหาย แถมเกมนี้ยังโชว์เซฟจุดโทษช่วยทีมไม่เสียประตูด้วย ฉะนั้นฟอร์มของทั้งคู่มันก็เหมือนสำนวนฝรั่ง "ชอล์กกับชีส" ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม แฟร้งค์ แลมพาร์ด ถึงได้สะกิดบอร์ดบริหารให้ทุ่มเงินซื้อผู้รักษาประตูคนใหม่มาร่วมทีม และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะได้ เอดูอาร์ด เมนดี้ ผู้รักษาประตูชาวเซเนกัลจากสโมสรแรนส์ มาร่วมทัพ 3. แวร์เนอร์ ยังต้องปรับตัวอีกเยอะ ก่อนเกมนี้หลายคนมองว่า ติโม แวร์เนอร์ จะเป็นนักเตะสำคัญที่จะพิฆาตความอหังการของ "พญาหงส์" ซึ่งในช่วงต้นเกมต้องยอมรับว่า ดาวเตะชาวเยอรมัน ทำผลงานได้อย่างหวือหวา และปั่นป่วนเกมรับทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ พอสมควร อย่างไรก็ตามพอแนวรับของ "หงส์แดง" เริ่มปรับตัวได้ทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับ แวร์เนอร์ ได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะ ฟาบินโญ่ ที่โดนจับโยกมายืนตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ต้องบอกเลยว่าเจ้าตัวทำผลงานได้ดีเยี่ยม จัดการตามประกบ อดีตสตาร์แอร์เบ ไลป์ซิก จนอยู่หมัด กระนั้น แวร์เนอร์ ก็ถือว่าเป็นนักเตะที่ปั่นป่วนเกมของ "เดอะ เร้ดส์" ได้เยอะมาก โดยเฉพาะการที่เขาถ่างออกไปเล่นบริเวณริมเส้น และใช้ความเร็วเลี้ยงตัดเข้ามาด้านใน ซึ่งวิธีการนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับปัญหาพอสมควรในการรับมือกับเขา เห็นได้ชัดว่าแผนการเล่นแบบนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ตั้งรับไม่ถูก และด้วยความเร็วของเขาทำให้เวลาที่วิ่งตัดเข้าไปในเขตโทษจึงมีโอกาสสูงที่จะโดนทำฟาวล์ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เข้าพรวดไปนิดจนกลายเป็นทำฟาวล์และเสียจุดโทษ แต่เดชะบุญที่ จอร์จินโญ่ ยิงไปโดน เบ็คเกอร์ เซฟได้ ฟอร์มการเล่นของ แวร์เนอร์ อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกซักระยะ และควานหาประตูแรกของเขาบนแผ่นดินอังกฤษ กระนั้นผลงานของเขาสวนทางกับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่เล่นไม่ออก ช่วยทีมไม่ได้เลย และยังไม่ค่อยช่วยเกมรับอีก ฉะนั้นการที่ "แลมพ์ส" เลือกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งจึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์อะไรเลย


arisapps.com

เจาะหลังเกมหงส์บุกจิกสิงห์


4. สามประสานยิ่งเล่นยิ่งรู้ใจ เกมนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แสดงผลงานอีกมิติหนึ่งที่แตกต่างจากฟอร์มที่เจ้าตัวซัดแฮตทริกในเกมเฉือน ลีดส์ ยูไนเต็ด แมตช์เปิดซีซั่นเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเกมกับ "สิงห์บลูส์" นั้น "บังโม" คอยทำหน้าที่สร้างสรรค์เกม และดึงผู้เล่นแนวรับของ เชลซี ทำให้ มาเน่ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มีพื้นที่ในการเล่นมากยิ่งขึ้น ซาลาห์ โชว์สปีดเร็วกว่านรก ถึงบอลก่อน เกปา และปาดบอลเข้ากลางประตูให้ ฟีร์มิโน่ เกือบจะได้ยิงโล่งๆแล้ว แต่ยังดีที่ คริสเตนเซ่น ยังตามาบล็อสกัดบอลออกหลังได้อย่างหวุดหวิด


นอกจากนี้ยังมีจังหวะที่เจ้าตัวโชว์ความฉลาด เปิดยัดเข้ากลางประตู แต่ แนวรุกเลือดแซมบ้า เข้าชาร์จไม่ถึงบอลเลยผ่านหน้าประตูไปแบบได้แค่เสียว ขณะที่ ฟีร์มีโน่ ยังคงเป็นนักเตะจอมป้อนให้กับเพื่อนร่วมทีมเหมือนเดิม โดยเฉพาะประตูที่ "หงส์แดง" ขึ้นนำ 1-0 มาจากการประสานงานอย่างเหนือชั้นของสามแนวรุก "หิน เหล็ก ไฟ" โดยเริ่มต้นจาก ฟีร์มีโน่ ที่ชิ่งบอลให้ ซาลาห์ ก่อน "บังโม" จะแตะบอลตัดหลังให้ ฟีร์มีโน่ ได้มีโอกาสเปิดบอลแบบงามหยดไปจบที่หัวของ มาเน่ ซึ่งบอกเลยว่าการเข้าทำแบบนี้แสดงให้เห็นถึงการฝึกซ้อมอย่างเข้าขาลงตัวของทั้ง 3 คนอย่างแท้จริง ฉะนั้นผลงานการเข้าทำของทั้งสามคนในจังหวะนี้เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าในฤดูกาลนี้พวกเขาพร้อมที่จะประสานงานกันเพื่อทำลายแนวรับคู่แข่ง และแน่นอนว่าบรรดากองหลังทุกทีมคงต้องจับตา ซาลาห์, มาเน่ และฟีร์มีโน่ เอาไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นมีสิทธิ์เจ็บตัวเหมือน เชลซี arisapps.com 5. ฟาบินโญ่ ได้งานใหม่แล้ว หากจะมองหานักเตะที่ปิดทองหลังพระมากที่สุดในเกมนี้ คงต้องยกให้ ฟาบินโญ่ ที่คู่ควรกับคำนี้ที่สุด เพราะนักเตะถูกจับไปเล่นเป็นกองหลังคู่กับ ฟาน ไดค์ และก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการรับมือกับเกมบุกของ เชลซี ได้อยู่หมัดเลยทีเดียว ตอนแรกที่ ลิเวอร์พูล มีข่าวว่า โฌแอล มาติป กับ โจ โกเมซ มีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องเลือกใช้ ฟาบินโญ่ ที่เล่นบทบาทโฮลดิ้ง มิดฟิลด์กับทีมมาตลอด ยืนเซนเตอร์แบ็กซึ่งบอกเลยว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงเสียวสันหลังสุดๆ เนื่องจากเขาต้องรับมือกับความรวดเร็วและแข็งแกร่งของ แวร์เนอร์ อย่างไรก็ตาม ฟาบินโญ่ ทำผลงานได้สุดยอดโดยเฉพาะในนาทีที่ 19 ที่เขาสกัดได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้ หัวหอกชาวเยอรมันพลาดโอกาสในการยิงประตู นอกจากนี้ ดาวเตะสารพัดประโยชน์ชาวบราซิเลียน ยังยืนตำแหน่งได้ดีมากๆ ทำให้เขาสามารถจัดการเกมรุกของเจ้าบ้านได้หมด ดังนั้นฟอร์มการเล่นเกมรับของ ฟาบินโญ่ คงทำให้ คล็อปป์ เริ่มปิ๊งไอเดียเด็ดๆ เพราะเอาเข้าจริงๆ หาก โกเมซ หรือ มาติป มีปัญหาบาดเจ็บ หรือติดโทษแบนลงสนามไม่ได้ งานนี้นายใหญ่ชาวเยอรมัน อาจจะเลือกใช้งานนักเตะในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง ที่สำคัญการที่ "เดอะ เร้ดส์" เซ็นสัญญากับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า มาร่วมทัพนั่นหมายความว่าพื้นที่ในแดนกลางมีการแข่งขันกันสูงว่า ฉะนั้นบางทีเราๆ ท่านๆ อาจจะได้เห็น ฟาบินโญ่ ยืนตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กบ่อยขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้ 6. ติอาโก้ เปิดตัวอย่างหรูดูดีมีสกุล ติอาโก้ อัลกันตาร่า เซ็นสัญญามาเป็นสมาชิกใหม่ ลิเวอร์พูล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และเขายังไม่ได้มีโอกาสร่วมฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมใหม่เลย แต่ คล็อปป์ ยังคงไว้วางใจให้นักเตะลงเล่นในแมตช์ใหญ่กับ เชลซี และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้สาวก "หงส์แดง" ต้องผิดหวัง การที่ทีมจำเป็นต้องเปลี่ยน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมออกในช่วงพักครึ่งเนื่องจากนักเตะมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ติอาโก้ ลงสนามซึ่งเป็นเกมเปิดตัวของเขากับสโมสร และด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนนักเตะไม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวมานักก็เล่นเข้าขากับแข้ง "เดอะ เร้ดส์" อดีตสตาร์ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ได้รับอิสระในการเล่นเกมบุกอย่างเต็มที่ และโชว์คลาสระดับโลกด้วยการส่งบอลอย่างเหนือชั้นให้กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม หลุดเข้าไปในเขตโทษแต่น่าเสียดาย ดาวเตะชาวดัตช์ กดเต็มข้อแต่โดน เกปา เซฟเอาไว้ได้

แม้ว่านักเตะอาจจะเสียฟอร์มไปนิดเมื่อดันเข้าพรวดจนทีมเสียจุดโทษก็ตาม แต่เดชะบุญที่ เบ็คเกอร์ ป้องกันเอาไว้ได้ทำให้สถานการณ์ของ "หงส์แดง" ยังคงได้เปรียบเจ้าบ้าน อย่างไรก็ตามสถิติโดยรวมของ ติอาโก้ ก็คือผ่านบอลสำเร็จ 75 ครั้งในเวลาแค่ 45 นาทีมากกว่านักเตะทุกคนของ เชลซี ที่ลงเล่นตลอดทั้งเกม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่นักเตะได้รับคำชมมากๆ ว่าเป็นห้องเครื่องระดับเวิลด์คลาสที่จะมายกระดับการเล่นของลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้

 
 
 

Comments


Post: Blog2_Post

Subscribe Form

Thanks for submitting!

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn

©2019 by UFABET369. Proudly created with Wix.com

bottom of page