เอ็มบัปเป้,เนย์มาร์ไม่คม! ผ่า 5 ประเด็น บาเยิร์น ปราบ "เปแอสเช" ซิวแชมป์ชปล.

บาเยิร์น มิวนิค ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเมื่อสามารถเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

ทำให้พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ถ้วยใบโตยุโรปเป็นสมัยที่ 6 เทียบเท่ากับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แมตช์นี้ยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เล่นไม่ถนัดมากนักเมื่อ "เปแอสเช" วางแผนมาดี และเกือบที่จะต้องเสียประตูหลายครั้งโดยเฉพาะในช่วงท้ายครึ่งแรกจากจังหวะยิงของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แต่ต้องขอบคุณ มานูเอล นอยเออร์ นายทวารกัปตันทีมที่ป้องกันเอาไว้ได้

งานนี้ต้องบอกว่าเกมของ แซงต์-แชร์กแมง สู้กับ "เสือใต้" ได้ดีมากๆ แต่น่าเสียดายที่ เอ็มบัปเป้ กับ เนย์มาร์ ขาดความเฉียบคม ในขณะที่ บาเยิร์น มีจังหวะทีเด็ดทีขาดที่คมกรีบมากกว่าจากการโขกของ คิงสลี่ย์ โกมัน ย้อนทาง เกย์ลอร์ นาวาส โกล "เปแอสเช" ส่งบอลตุงตาข่ายสุดสวย ในช่วงเวลาที่เหลือ แซงต์-แชร์กแมง พยายามเดินเครื่องหวังจะยิงประตูตีเสมอ แต่ก็ไม่ผ่านความเหนียวหนึบของ นอยเออร์ จบเกม บาเยิร์น ทำภารกิจสำคัญในการคว้าแชมป์ ส่วนยอดทีมแห่งศึกลีก เอิง ต้องน้ำตานองหน้าไม่สามารถเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสรได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ 1. เอ็มบัปเป้-เนย์มาร์ ขาดความเฉียบคม แน่นอนว่าการเห็นชื่อของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ เนย์มาร์ ยืนเป็นแนวรุกให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำเอาบรรดาสาวก "เสือใต้" คงรู้สึกหวานๆ ร้อนๆ เพราะผลงานของทั้งสองคนเด็ดสะระตี่ ที่สำคัญทั้งความเร็วและทักษะส่วนตัวของทั้งคู่มีสิทธิ์ปั่นป่วนเกมรับ บาเยิร์น มิวนิค แน่นอน ฟอร์มของทั้งสองคนเป็นไปตามที่คาด เมื่อสามารถป่วนเกมรับ บาเยิร์น ได้จริงๆ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาขาดแค่สิ่งเดียวนั่นก็คือความเฉียบคม โดยในรายของ เอ็มบัปเป้ ได้โอกาสทองฝังเพชรในช่วงท้ายครึ่งแรกจาการผ่านบอลอย่างสุดสวยของ อันเดร์ เอร์เรร่า น่าเสียดายที่ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส ยิงไปโดน มานูเอล นอยเออร์ ป้องกันเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด ต้องบอกเลยว่านี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกม เพราะหาก เอ็มบัปเป้ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย รูปเกมในครึ่งหลังมีความเป็นไปได้ที บาเยิร์น ต้องเปิดเกมรุกหนักขึ้น และทำให้แผงหลังลอย ซึ่งเป็นสิ่งที่ "เปแอสเช" ต้องการ นอกจากการพลาดโอกาสทองฝังเพชรของ เอ็มบัปเป้ แล้ว ในส่วนของ เนย์มาร์ แม้จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการเล่นงานผู้เล่นบาเยิร์นได้ก็ตาม แต่เมื่อถึงจังหวะทีเด็ดทีขาดเจ้าตัวก็ขาดความเฉียบคมในการยิงประตู เช่นเดียวกัน 2. ติอาโก้ คุมแดนกลางได้นิ่ง แฟนบอลลิเวอร์พูล คงได้เห็นประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้วว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดมากแค่ไหน ในการทำหน้าที่คุมจังหวะเกมแดนกลางให้กับยอดทีมแห่งแคว้นบาวาเรีย ที่สำคัญนักเตะแสดงให้เห็นถึงความนิ่งแม้จะโดนไล่กดดันจากคู่แข่งก็ตาม จะเห็นได้ชัดว่าแมตช์นี้แดนกลางของแซงต์-แชร์กแมง ค่อนข้างเล่นได้อย่างเหนียวแน่น และไม่เปิดโอกาสให้ บาเยิร์น ได้ทำเกมง่ายๆ แต่ ติอาโก้ ยังคงเล่นได้อย่างนิ่ง และมีความแน่นอน chrisjerde.com โดยงานนี้ทุกๆ สายคงได้เห็นแล้วว่า ดาวเตะทีมชาติสเปน ไม่มีอาการลนลานแม้แต่นิดเดียวเมื่อโดนกดดัน ติอาโก้ โชว์ให้เห็นถึงทักษะในการผ่านบอลที่สุดแสนฉลาดหลักแหลม, การกระจายบอลไปทั่วสนามที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเปิดเกมให้เพื่อนเล่นได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญการผ่านของเจ้าตัวช่วยทำให้เกมของ ยอดทีมแห่งถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า ไหลลื่น สไตล์การเล่นของ ติอาโก้ ช่างเหมาะเจาะลงตัวกับสไตล์การเล่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ หากนำตัวมาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นหากนักเตะต้องการหาความท้าทายใหม่ต้องบอกว่า บาเยิร์น สูญเสียกำลังสำคัญ แต่ "หงส์แดง" จะได้เพรชเม็ดงามที่เจียระไนเป็นอย่างดีมาประทับสโมสร

5 ประเด็นพี่เสือแชมป์ ชปล.

3. นอยเออร์ โคตรเหนียว, คิมมิช สุดแจ่ม ทุกๆ คนรู้อยู่แล้วว่า มานูเอล นอยเออร์ เป็นผู้รักษาประตูที่มีทั้งความนิ่ง และความเหนียวหนึบ รวมทั้งยังเป็นโกลที่มักจะสวมบทลิเบอโร่ คอยช่วยเกมรับให้กับทีม โดยในแมตช์สำคัญเขาไม่เคยทำให้ทีมต้องผิดหวัง เมื่อโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดมาตลอด ในเกมกับ แซงต์-แชร์กแมง ต้องบอกว่า นอยเออร์ คือหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ บาเยิร์น ประสบความสำเร็จเพราะเจ้าตัวป้องกันจังหวะอันตรายได้หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยิงของ เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ นอกจากนี้ยังสวมบทกองหลังคอยวิ่งมาตัดจังหวะเกมรุกของ "เปแอสเช" ด้วย

นอยเออร์ โชว์ซูเปอร์เซฟสุดสำคัญถึง 3 ครั้ง และยังป้องกันจังหวะยิงประตูของ เอ็มบัปเป้ บริเวณจุดโทษแม้จังหวะนั้นกรรมการจะเป่าเป็นลูกล้ำหน้าก็ตาม ฉะนั้นต้องยอมรับเลยว่า นายทวารทีมชาติเยอรมนี ช่วย "เสือใต้" รอดพ้นหายนะได้หลายครั้ง และทำให้ บาเยิร์น ไม่เสียเปรียบ นักเตะอีกรายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ โยชัว คิมมิช แม้ว่าในเกมนี้เจ้าตัวไม่ค่อยได้เติมเกมรุกมากนักเพราะต้องเล่นรัดกุมเนื่องจากคู่แข่งมีอาวุธหนักในจังหวะสวนกลับ แต่การเล่นที่นิ่ง และการวางบอลที่แม่นยำให้กับ คิงสลี่ย์ โกมัน โหม่งทำประตูขึ้นนำ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ถ้วยใบโตยุโรปสมัยที่ 6 ได้อย่างยิ่งใหญ่ แม้ในช่วงต้นๆ เกม คิมมิช อาจจะต้องพยายามเล่นเกมรับ แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เจ้าตัวค่อยๆ พัฒนาผลงานดีขึ้น ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการที่ต้องสู้กับเกมรับที่เหนียวแน่นของ "เปแอสเช" ทีมต้องอาศัยจังหวะการเปิดบอลด้านข้างที่แม่นยำ และ คิมมิช ก็มอบสิ่งนี้ให้กับทีมได้อย่างลงตัว 4. บอร์ดบริหารกล้าเสี่ยงกับ ฮันซี่ ฟลิค ย้อนไปช่วงแรกๆ ของฤดูกาล 2019/2020 ตอนที่ นิโก้ โควัช กุมบังเหียน บาเยิร์น มิวนิค บอกเลยว่าตอนนั้นทีมแทบจะไม่มีลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่บอร์ดบริหารสั่งปลด โควัช ออกไป และลองเสี่ยงแต่งตั้ง ฮันซี่ ฟลิค มือขวา ให้มานั่งคุมทีมชั่วคราว ผลงานของสโมสรพลิกกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ นับตั้งแต่ที่ ฟลิค เข้ามาทำงานแบบขัดตาทัพเขานำสโมสรทำผลงานได้ดีจนชนะใจแฟนบอล บาเยิร์น และในที่สุดบอร์ดบริหารตัดสินใจมอบสัญญาคุมทีมแบบถาวรเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งนี่คือความเสี่ยงที่ถูกต้องมากๆ เพราะ ฟลิค สามารถเรียกจิตวิญญาณของความเป็น "เสือใต้" กลับมาสู่ทีมอีกครั้ง โดยทีมเดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่นจนสามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล ตบท้ายด้วยโทรฟี่แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งทำให้สโมสรผงาดคว้าทริปเบิลแชมป์อย่างน่าเหลือเชื่อ ลองคิดดู บาเยิร์น มีสถิติจบฤดูกาล 2019/2020 โดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลย 30 เกมหลังสุด (ชนะ 29 เสมอ 1) ที่สำคัญยังเก็บชัยชนะเรียบวุธถึง 21 เกมสุดท้ายจากการเล่นทุกรายการ ส่วนในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก "เสือใต้" เป็นทีมแรกในหน้าประวัติศาสตร์โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" ที่ชนะรวด 100 เปอร์เซนต์ในเกมที่พวกเขาลงเล่นในซีซั่นเดียว ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าบอร์ดบริหารได้รับความชื่นชมมากขนาดไหนที่กล้าเสี่ยงให้ ฟลิค ทำหน้าที่สำคัญนี้ และแน่นอนว่าด้วยผลงานที่นำ บาเยิร์น กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามทั้งในเวทีบุนเดสลีกา และในยุโรป แฟนบอล "เสือใต้" คงได้เห็น ฟลิค อยู่กุมบังเหียนทีมไปอีกนานแน่นอน 5. วีเออาร์ พลาดอีกแล้ว ? การมีเทคโนโลยีช่วยตัดสิน หรือ "วีเออาร์" เป็นสิ่งที่ได้รับการคาดหมายว่าจะทำให้เกมฟุตบอลมีความยุติธรรมมากที่สุด แต่มีหลายครั้งที่ระบบวีเออาร์มักจะสร้างประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะในเกมนัดชิง ก็เกิดกรณีให้ต้องขบคิดกันว่าระบบนี้สร้างความยุติธรรมได้ 100 เปอร์เซนต์จริงหรือไม่ ? จังหวะสำคัญเกิดขึ้นตอนที่ เอ็มบัปเป้ เลี้ยงบอลอยู่ในกรอบเขตโทษ และโดน โยชัว คิมมิช เตะล้มในช่วงที่เวลาเหลือเพียงแค่ 15 นาที่สุดท้าย แน่นอนว่านี่คือจังหวะสำคัญมากๆ เพราะหาก "เปแอสเช" ได้จุดโทษ โอกาสที่พวกเขาจะตีเสมอ และนำไปสู่กำลังใจให้ไล่บี้ขยี้คู่แข่งเพื่อเอาประตูชัยก็มีเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในจังหวะดังกล่าว ดานิเอเล่ ออร์ซาโต้ ผู้ตัดสินชาวอิตาเลียน ไม่เป่าให้เป็นลูกฟาวล์ และไม่เรียกดู "วีเออาร์" แต่เมื่อมีการดูภาพช้าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คิมมิช เตะเข้าไปบริเวณส้นเท้าของ เอ็มบัปเป้ จนทำให้นักเตะเสียสูญร่วงไปนอนกับพื้น งานนี้ ปีเตอร์ วอลตัน อดีตผู้ตัดสินชื่อดังในเกมระดับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเห็นกับ "บีที สปอร์ต" สื่อกีฬายอดนิยม ในจังหวะนี้ควรจะมีการเช็ควีเออาร์เพื่อความชัดเจน "เมื่อคุณได้ดูภาพช้าคุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการสัมผัสที่ส้นเท้าของ เอ็มบัปเป้ และมันมีโอกาสที่จะเป็นจุดโทษ"